มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช แสดงความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ นายกสภามหาวิทยาลัย พร้อมด้วยกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร คณาจารย์ ข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย บุคลากรมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) รวมถึงสมาคมสุโขทัยธรรมาธิราช สโมสรสุโขทัยธรรมาธิราช สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สหกรณ์ร้านค้ามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ร่วมแสดงความอาลัยแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยนายกสภามหาวิทยาลัย กล่าวเทิดพระเกียรติคุณน้อมเกล้าฯ ถวายความอาลัย และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ตั้งสัจจาธิษฐาน แสดงความอาลัย เสด็จสู่สวรรคาลัยโดยพร้อมเพรียงกัน ณ ลานปาริชาต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ นายกสภามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

บทความพิเศษ | ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ

กราบถวายบังคมด้วยสองมือ จากหัวใจข้าแผ่นดิน ในมติชนสุดสัปดาห์

การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นข่าวใหญ่ไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทย หากแต่เป็นข่าวใหญ่ที่รับรู้กันทั่วโลก และสืบเนื่องจากวันนั้นมา ผมก็ได้อ่านข้อเขียนหรือบทความของหลายท่านหลายแหล่งเล่าเรื่องประสบการณ์ของแต่ละคนที่ได้ประสบพบเห็นพระราชกรณียกิจรวมถึงพระมหากรุณาธิคุณ ประสบการณ์ความทรงจำ และอีกสารพัดเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ทุกเรื่องล้วนแต่น่าสนใจและเป็นความทรงจำที่งดงามทั้งสิ้น เมื่อได้อ่านข้อเขียนหรือเรื่องเล่าจากหลายท่านมาแล้ว ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วส่วนตัวผมมีอะไรจะมาเล่าสู่กันฟังได้บ้าง อย่างน้อยก็เป็นการบันทึกความทรงจำว่าในชีวิตที่ผ่านมา 70 ปีของผม ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับสมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระองค์นี้มีอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าเมื่อยังอยู่ในวัยเยาว์ เมื่อเริ่มพอจำความได้ผมก็รู้ว่าเมืองไทยของเรามี “ในหลวง” และ “พระราชินี” เป็นศูนย์กลางความรักความศรัทธาของคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งสมาชิกทุกคนในครอบครัวของผมเองด้วย ไม่น่าจะผิดไปจากความเป็นจริงถ้าจะบอกว่า ผมได้เห็นทั้งสองพระองค์ด้วยสายตาของตัวเองเป็นครั้งแรก ในวาระที่เสด็จนิวัตพระนคร ภายหลังจากที่ได้เสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะผู้แทนประชาชาติไทยในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเป็นเวลานานหลายเดือนเมื่อปีพุทธศักราช 2504

บ้านพักของผมเวลานั้นอยู่ที่ซอยแยกของซอยอารีย์ ถนนพหลโยธิน ถ้าเรียกแบบปัจจุบันก็บอกว่าบ้านผมอยู่ที่ซอยอารีย์ 2 ฝั่งเหนือ ในวันที่เสด็จฯ กลับมาถึงพระนคร ทั้งผู้ใหญ่และลูกเล็กเด็กแดงทั้งบ้านแห่กันไปรับเสด็จที่ริมถนนพหลโยธิน ผมเป็นหนึ่งในคณะใหญ่ที่เดินเท้าออกจากบ้านไปรับเสด็จด้วย ความทรงจำแม้จะเลือนรางเต็มที แต่ก็พอจำได้ว่าทั้งในหลวงและพระราชินีทรงงามสง่า และทรงเป็นที่รักของทุกคนที่ตั้งใจไปรับเสด็จในวันนั้นอย่างแท้จริง ซุ้มรับเสด็จที่สร้างเป็นระยะตลอดเส้นทางที่เสด็จพระราชดำเนินผ่าน เป็นสิ่งก่อสร้างชั่วคราวแต่วิจิตรบรรจง เปี่ยมด้วยความหมาย และความตั้งใจของเจ้าของซุ้มเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเติบโตและเข้าเรียนในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันทรงดนตรีครั้งสุดท้ายในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นวันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2516 ผมผู้เป็นนิสิตปีหนึ่งก็ได้เฝ้าชมพระบารมีร่วมกับชาวจุฬาฯ ราวสองพันคนในหอประชุมจุฬาฯ ที่แน่นขนัด จนแทบไม่มีที่เหยียบยืนแต่ก็ไม่มีใครท้อถอยเลยแม้สักคนเดียว พระสิริโฉมในวันนั้น เป็นพระสิริโฉมของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขณะเมื่อพระชนมายุ 41 พรรษา จะงดงามจับใจเพียงใดแค่ไหนเห็นจะไม่ต้องอธิบาย

อีกสี่ปีต่อมาในวันที่ 16 กรกฎาคม 2520 ผมได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ วันเดียวกันกับที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ ทรงรับเหรียญรางวัลในฐานะนิสิตที่มีผลการเรียนดีเด่น โดยในงานพิธี มีสมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระองค์นี้ประทับพระราชอาสน์อยู่เคียงคู่กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินก่อน พร้อมทั้งมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันประทับอยู่เยื้องไปด้านหลังหน่อยหนึ่ง ภาพถ่ายงานพระราชทานปริญญาบัตรคราวนั้นจึงมีความหมายสำคัญมากสำหรับผมเพราะมีพระเจ้าอยู่หัวถึงสองพระองค์อยู่ในภาพ พร้อมด้วยสมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงด้วย ทำให้อดที่บอกกับตัวเองไม่ได้ว่า งานรับพระราชทานปริญญาบัตรของตัวผมเองในปีนั้นมีความหมายพิเศษมากกว่างานพระราชทานปริญญาบัตรปีอื่นเป็นไหน ๆ

แต่ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ท่านผู้อ่านคงสังเกตได้ว่าเป็นเรื่องที่ผมเฝ้าชมพระบารมีของสมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงอยู่ฝ่ายเดียว โดยเป็นการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ริมถนนอย่างประชาชนคนหนึ่งบ้าง เป็นการรับพระราชทานปริญญาบัตรเฉพาะ พระพักตร์ของท่านในฐานะเป็นบัณฑิตจบใหม่บ้าง แต่ยังมิได้มีโอกาสได้เฝ้าแหนเป็นการเฉพาะเลย จนกระทั่งผมกลับมาจากเรียนหนังสือต่างประเทศและมารับราชการเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะนิติศาสตร์จุฬาฯ แล้ว ในปี 2525 ซึ่งเป็นปีแห่งการฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปีในเดือนตุลาคมปีนั้น สมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงพระราชดำริจัดงานสำคัญขึ้นหนึ่งงานชื่อว่า งาน 200 ปีแห่งสายสัมพันธ์ โดยทรงเชิญแขกทั้งชาวต่างประเทศและชาวไทยมาร่วมงานพระราชทานเลี้ยง เพื่อทรงแนะนำให้รู้จักเมืองไทยและบรรดาสารพัดอย่างที่ทรงคุณค่าของประเทศ งานมีทั้งที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ที่พระที่นั่งวิมานเมฆ พระราชวังดุสิต และที่พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การจัดงานคราวนั้นผมมีโอกาสได้เป็นอาสาสมัครรับราชการสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ ซึ่งทรงอำนวยการตกแต่งพระที่นั่งวิมานเมฆให้งามพร้อมสำหรับงานสำคัญตามพระราชเสาวนีย์ หลังจากวันงานผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เปิดพระที่นั่งวิมานเมฆให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมเป็นเวลาเจ็ดวัน โดยผมทำหน้าที่อาสาสมัครเป็นหัวหน้าไกด์นำชม

ต่อมาประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2525 บ่ายวันหนึ่งผมได้รับแจ้งจากสำนักพระราชวังว่า สมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงจะเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระที่นั่งวิมานเมฆในเวลาค่ำประมาณสองหรือสามทุ่ม ให้ผมไปรอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จพระราชดำเนินและเป็นผู้นำเสด็จทอดพระเนตรพระที่นั่งฯ ด้วย ลองนึกดูแล้วกันครับว่า ผมจะตื่นเต้นและใจเต้นไม่เป็นส่ำเพียงไหน ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งแปลว่าผมต้องกราบบังคมทูลด้วยข้อมูลสารพัดที่ตัวเองพอจดจำไว้ได้ ซึ่งถึงแม้จะมีความมั่นใจในข้อมูลเพียงใดก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่การนำคนทั่วไปชมพระที่นั่ง หากแต่เป็น “การนำเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรที่นั่งวิมานเมฆ” ผมมั่นใจทีเดียวว่าท่านทรงพระปรีชาและทรงรอบรู้ในเรื่องที่ต่างๆ มากกว่าที่ผมจะกราบบังคมทูลอย่างแน่นอน

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินมาถึง และผมได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงานเชิงถวายตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินนำเสด็จไปตามเส้นทางที่จัดเป็นเส้นทางให้ประชาชนทั่วไปเดินชมพระที่นั่ง ตลอดเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงหรือกว่านั้นที่ทรงพระดำเนินไปตามห้องต่าง ๆ แรกทีเดียวผมกราบบังคมทูลทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและประหม่าสุดขีด แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน พระเมตตาบารมีที่ชัดเจนเหลือประมาณก็ทำให้ผมมีหัวใจที่เต้นเป็นปกติ ถ้อยพระวาจาทุกองค์ทุกประโยค พระสุรเสียงที่ไพเราะอ่อนโยน ทำให้ผมหายใจได้ทั่วท้อง และยิ่งไปกว่านั้น ยังทรงพระมหากรุณา รับสั่งเล่าถึงเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องราวของพระราชสำนัก เรื่องงานศิลปะวัตถุโบราณวัตถุ และเรื่องควรรู้ทั่วไปอีกมากมายพระราชทานแก่ผม “ผู้มีสติปัญญาน้อย” ให้ได้รับเรื่องราวเหล่านั้นใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้เป็นความรู้ประดับตัว กลางดึกคืนวันนั้น เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับแล้ว ผมขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกจริง ๆ ถ้าจะให้นึกย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์ขึ้นวันนั้น ผมอาจจะบอกกับตัวเองในวันนี้ว่า ค่ำวันนั้นเป็นวันที่พิเศษสุดวันหนึ่งในชีวิต

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นแล้ว ผมอาจกำหนดนับว่า ตัวเองเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในข่ายแห่งพระมหากรุณา ทำให้มีโอกาสได้สนองพระเดชพระคุณในกิจการงานต่าง ๆ หลายเรื่อง เช่น เป็นผู้หนึ่งในคณะจัดทำหนังสือเรื่อง ฟาร์มแบเช่ ซึ่งเป็นช่างทองหลวงเมืองรัสเซียในสมัยรัชกาลที่ห้าและราชสำนักไทยของเรามีสมบัติศิลปะจากห้างทองแห่งนี้อยู่ในความครอบครองมากชิ้นพอสมควร ทรงพระราชดำริว่า สมควรจัดทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้ให้กว้างขวางออกไป เพราะจะทำให้ผู้อ่านทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเห็นว่าเมืองไทยของเราในยุคเมื่อร้อยปีก่อนมีฐานะเทียบเท่ากับอารยประเทศอย่างไร และกล่าวโดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียก็เป็นเครื่องอุดหนุนอย่างสำคัญในการรักษาเอกราชของไทยเราในยุคนั้นด้วย

งานอีกเรื่องหนึ่งที่ผมได้สนองพระมหากรุณาธิคุณ คือ การทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับคณะถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเฉลิมพระเกียรติจากวิทยาลัยแอมบาสซาเดอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับพระราชทานพระราชานุญาตให้มาตามเสด็จในเวลาที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือของไทยเรา โอกาสนั้นทำให้ผมได้เห็นการทรงงาน “ภาคสนาม” ของสมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ว่าทรงใส่พระราชหฤทัยในสุขและทุกข์ของราษฎรเพียงใด

ตัวอย่างเช่น เมื่อทรงรับผู้ป่วยรายใดเป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ พระเมตตาก็เผื่อแผ่ไปถึงสมาชิกในครอบครัวของคนไข้ด้วยว่า เขาจะอยู่จะยังชีพกันอย่างไร ยิ่งถ้าผู้ป่วยเป็นหลักของครอบครัวด้วยแล้ว เมื่อหัวหน้าครอบครัวต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลห่างไกลบ้าน ผู้อยู่ข้างหลังจะทำอย่างไรกับชีวิต พระมหากรุณาของสมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงจะสอดส่องไปตลอดถึงเรื่องราวของทุกคนในครอบครัว ไม่ทรงปล่อยให้ใครตกหล่นเลย ผมมีความทรงจำที่แน่ใจว่า บ่อยครั้งที่ผมอยู่ในคณะถ่ายทำภาพยนตร์และไปตามเสด็จ กว่าจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาค่ำมากแล้ว เพราะฉะนั้นกว่าจะเสด็จฯ กลับถึงพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ก็เป็นเวลาดึกเต็มที แต่เวลาและนาฬิกาไม่ได้เป็นข้อจำกัดในการทรงงานของท่านเลยแม้แต่นิดเดียว

อีกหลายปีต่อมา ประมาณปี 2542 หรือก่อนหลังนั้นเล็กน้อย ในช่วงเวลาที่ผมเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ผมมีราชการพิเศษอย่างหนึ่งที่ได้ปฏิบัติสนองพระมหากรุณาธิคุณ เรื่องมีอยู่ว่า ในเวลาที่เสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างจังหวัดและประทับแรมอยู่ตามพระราชฐานต่างๆ มีข้าราชการหลายแผนกหลายฝ่ายตามเสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการเหล่านี้หมายความรวมถึงข้าราชการทหารตำรวจและข้าราชการพลเรือนจากหลายกระทรวงทบวงกรมด้วย มีบางวันที่มิได้เสด็จออก เพื่อนข้าราชการของผมเหล่านั้นพอมีเวลาว่างอยู่ตอนบ่าย สมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดชั้นเรียนพิเศษเพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้กับท่านเหล่านั้น ความรู้ที่ว่ามีหลากหลายโดยผู้บรรยายจากสถาบันต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนกันมาให้ความรู้ ผมเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นผู้บรรยายในเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย หัวข้อบรรยายแต่ละครั้งอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ก็อยู่ในกรอบหรือวงขอบประมาณนี้ ชั้นเรียนของเราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่เกิน 3 ชั่วโมง แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ผมยังกลับมาพระนครไม่ได้ เพราะค่ำวันเดียวกันกับที่บรรยายตอนบ่ายแล้ว ผมได้รับมงคลยิ่งในชีวิตให้นั่งร่วมโต๊ะเสวยรับพระราชทานอาหารค่ำ แน่นอนว่านอกจากอาหารที่ประณีตและเลิศรสแล้ว พระราชดำรัสที่รับสั่งเล่าก็ดี ทรงชวนสนทนาในโต๊ะเสวยก็ดี มีทั้งสาระและความเพลิดเพลินควบคู่กันไปอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่ผมพอจำได้ คือ รับสั่งเล่าเรื่องคุณภาพของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงเล่าว่าเมื่อครั้งที่ทรงพระเยาว์ ได้ทรงว่ายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวังที่ประทับย่านเทเวศร์ น้ำแม่น้ำในครั้งนั้นยังสะอาดพอที่จะลงไปว่ายน้ำเล่นได้ ปลาใหญ่น้อยหรือแม้กระทั่งกุ้งแม่น้ำก็ยังมีอยู่ชุกชุม มาบัดนี้คุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลงไป จึงทรงอยากขอให้พวกเราช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งของแม่น้ำลำคลองให้มีคุณภาพดีดังเดิม กรมประมงก็ได้ช่วยเป็นกำลังสำคัญในการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงในแม่น้ำเพื่อให้แม่น้ำของเราได้เป็นแหล่งอาหารที่มีคุณภาพของผู้คน ทรงรู้จักปลานานาชนิด ทรงคุ้นเคยกับกุ้งแม่น้ำ ทรงเล่าความหลังครั้งทรงพระเยาว์อย่างละเอียดลออ ซึ่งล้วนแต่ทำให้เวลาในโต๊ะเสวยผ่านไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งก็เป็นเวลาเสด็จขึ้นแล้ว

การได้มีวาสนาเข้านั่งในโต๊ะเสวยและได้รับพระมหากรุณาเช่นนั้น เมื่อเสด็จขึ้นกลางดึกแล้ว ผมก็เฝ้ารอโอกาสของชีวิตที่จะได้ไปบรรยายความรู้ให้กับคณะผู้นำเสด็จอีกครั้งหนึ่งในวันข้างหน้า เพราะรู้ดีว่าถ้าวันนั้นเวียนมาอีกครั้ง ถึงเวลาค่ำผมก็จะได้นั่งโต๊ะเสวยอีกคำรบหนึ่ง ได้ชื่นใจกับพระมหากรุณาของสมเด็จพระแม่เจ้าพระองค์นั้น เสียดายเป็นที่สุดแต่ว่า “เสด็จขึ้น” เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 คราวนี้ เป็นการเสด็จขึ้นสวรรค์ เป็นการเสด็จสวรรคต ฉะนั้น โอกาสจะได้นั่งโต๊ะเสวยหรือได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ริมถนน ได้ชมพระบารมีขณะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานาประการจึงไม่มีอีกแล้ว แต่พระมหากรุณาธิคุณและผลแห่งพระราชกรณียกิจอันไพศาลจะยังคงอยู่คู่กับสยามประเทศไปตลอดกาล

กราบถวายบังคมด้วยสองมือและด้วยหัวใจของข้าแผ่นดินคนนี้

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ
นายกสภามหาวิทยาลัย
ดร.นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์
อุปนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์
รองศาสตราจารย์ ดร.ทัศนา บุญทอง
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ
รองศาสตราจารย์ ดร.ปราณี สังขะตะวรรธน์
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการศึกษาทางไกล
รองศาสตราจารย์ ดร.มานิตย์ จุมปา 
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านนิติศาสตร์
นายเขมทัตต์ พลเดช  
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสื่อสารมวลชน
ดร.ศิริ การเจริญดี
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงินและการคลัง การลงทุน ทรัพย์สิน และธุรกิจเอกชน
ศาสตราจารย์ ดร.ประสาท สืบค้า
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรวรรณ 
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม
รองศาสตราจารย์.ดร.ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ
กรรมการสภามหาวิทยาลัย รักษาการแทนอธิการบดี
คณะผู้บริหาร มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

บทความโดย

ข่าวที่น่าสนใจ