มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ สนับสนุนการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย มุ่งสู่เศรษฐกิจสังคมคาร์บอนต่ําอย่างยั่งยืน

วันนี้ (3 ต.ค. 68) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (JGSEE-มจธ.) โดยมี รศ.ดร.พนมพัทธ์ สมิตานนท์ กรรมการสภามหาวิทยาลัย รักษาการแทนอธิการบดี มสธ. และ รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นผู้ลงนามในข้อตกลง พร้อมด้วยสักขีพยานจากทั้งสองสถาบันเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุม 1514 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันในการสนับสนุนและขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน



พิธีลงนาม (MOU) ในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือในการผสานจุดแข็งทางวิชาการของทั้ง 2 สถาบัน โดย มสธ. ในฐานะมหาวิทยาลัยในระบบเปิดที่ยึดหลักการศึกษาตลอดชีวิต และมีนโยบายการพัฒนาสู่ “มหาวิทยาลัยสีเขียว” ในช่วงระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างองค์ความรู้และการพัฒนาบุคลากร เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ขณะที่บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) มจธ. มีพันธกิจหลักในการผลิตบัณฑิตและสร้างสรรค์งานวิจัยเชิงคุณภาพสูงที่เกี่ยวข้องกับทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแกนหลักในการสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ จึงมุ่งเน้นการให้ความสำคัญในด้านการบูรณาการทรัพยากร องค์ความรู้ และเครือข่าย เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในประเด็นสำคัญต่างๆ ดังนี้:
- ด้านความร่วมมือด้านการฝึกอบรมและการวิจัย
- ด้านการพัฒนาหลักสูตรระยะสั้น โครงการสัมฤทธิบัตร และประกาศนียบัตร เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำสู่ประชาชนทั่วไป
- ด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านการเรียนการสอน วิจัย และบริการวิชาการ
- ด้านการดำเนินกิจกรรมที่สอดคล้องกับพันธกิจ ของทั้งสองสถาบัน เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่นักศึกษา ผู้เรียน และสังคม



โดยการร่วมมือระหว่าง 2 สถาบัน จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยผลักดันการสร้างบุคลากรที่มีองค์ความรู้และความสามารถในด้านการบริหารการจัดการทรัพยากรที่อยู่อย่างจำกัด เพื่อนำต่อยอดในการลดก๊าซเรือนกระจกที่กำลังเผชิญอยู่ภายในปัจจุบัน พร้อมทั้งสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี และยกระดับการตระหนักรู้ของสังคมไทย เพื่อก้าวไปสู่เศรษฐกิจสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนในที่สุด