วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่ห้องประชุม 1 อาคารอำนวยการ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ (มฉก.) ได้มีการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กับ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เพื่อร่วมกันพัฒนาบุคลากรและองค์ความรู้ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างครอบคลุม




พิธีลงนามในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมและยกระดับการศึกษา การวิจัย และการบริการวิชาการใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ การแพทย์แผนไทย, สมุนไพร, พื้นฐานวิทยาศาสตร์การแพทย์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนมพัทธ์ สมิตานนท์ กรรมการสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รักษาการแทนอธิการบดี เป็นผู้ลงนาม พร้อมด้วยผู้บริหารหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และสุขภาพจากทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยาน และมีคณาจารย์ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องของทั้งสองสถาบันเข้าร่วมพิธี




ความร่วมมือกันในครั้งนี้มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะและความรู้ที่จำเป็นต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลและผลงานทางวิชาการเพื่อนำไปสู่การพัฒนากิจกรรมทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
บันทึกข้อตกลงฉบับนี้กำหนดกรอบและแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญคือ
การจัดการเรียนการสอนและการฝึกปฏิบัติ: ทั้งสองมหาวิทยาลัยจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ระดับปริญญาตรี บัณฑิตศึกษา และหลักสูตรระยะสั้น รวมถึงเป็นแหล่งฝึกปฏิบัติสำหรับนักศึกษา
การวิจัยและบริการวิชาการ: มีการร่วมมือในการพัฒนางานวิจัยและงานบริการวิชาการที่เกี่ยวข้องกับทั้ง 4 สาขาวิชาหลัก
การพัฒนาบุคลากร: สนับสนุนบุคลากรของทั้งสองฝ่ายให้เป็นวิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ หรืออาจารย์พิเศษ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้







สำหรับบทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่ายนั้น มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ จะทำหน้าที่เป็นแหล่งฝึกปฏิบัติ จัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ รวมถึงให้คำปรึกษาและคำแนะนำในด้านต่างๆ ขณะที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จะให้การสนับสนุนบุคลากรเป็นวิทยากร ที่ปรึกษา และร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมบางส่วน เพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ความร่วมมือนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการผนึกกำลังของสองสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขของไทยต่อไป